สมัยผมเด็กๆ ด้วยความที่เรียนโรงเรียนคริสต์ ทำให้ช่วงคริสมาสตร์เป็นเหมือนเทศกาล “เฉลิมฉลองใหญ่” ของทุกคน
ช่วงนั้นโรงเรียนจะจัดเต็มกิจกรรมสันทนาการ ไม่ว่าจะเป็นแสงสี อาหาร และการถล่มเปิดเพลงในอัลบั้มชุด “เพลย์ลิสต์คริสมาสตร์”
รวมไปถึงการ “รีรัน” คำสอนจากพระคัมภีร์ยอดฮิต ให้เด็กๆ ได้ฟังกัน
ในคำสอนยอดฮิต มีคำสอนหนึ่งที่ผมยังจำได้มาถึงทุกวันนี้คือ
“การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ”
และเหตุผลที่ผมมันได้แม่น เพราะตอนเด็กๆ ผมไม่เคยเข้าใจเลย ผมเองก็ได้แต่ตั้งคำถามในใจว่า
“การให้เนี่ยนะจะทำให้มีความสุข มันต้องการรับสิ รับเยอะๆ เลย ถึงจะมีความสุข”
แต่พอโตขึ้น ความคิดผมก็เปลี่ยนไป
โอเค แล้วการให้จะทำให้มีความสุขยังไง ? คำถามนี้คงไม่มีใครตอบได้ดีเท่ากับ
Adam Grant คนเขียนหนังสือ Best Seller อย่าง Give and Take
Adam Grant เปิดเรื่องในหนังสือได้อย่างน่าสนใจว่า
คนที่ชีวิตลำบากตรากตำที่สุดคือผู้ให้ แต่เรื่องที่น่าตกใจคือ
คนที่ก้าวหน้าที่สุดเองกลับไม่ใช่ผู้ล่า แต่ก็คือผู้ให้เช่นกัน
แต่ทั้งนี้ เราต้องห้ามให้มั่วๆ แต่ต้องให้อย่างมีชั้นเชิง มีกลยุทธ์
แล้วอะไรคือผลตอบแทนเมื่อผู้ให้ทำการให้ มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องนึงขึ้นมา
ตอนสมัยผมเป็นวัยรุ่นที่ต่างจังหวัด ผมเป็นเด็กที่ผลการเรียนเรียกว่าไม่ค่อยเอาไหน
ไม่ใช่ว่าผมเกเรหรือไม่ตั้งใจเรียนนะ แต่หัวผมมันไม่ไหวจริงๆ
และที่นั่นไม่ค่อยมีการกวดวิชาผ่านทีวีหรือคอมพิวเตอร์อย่างในเมืองกรุง
ทว่า ณ ตอนนั้นมันมีการสอบครั้งสำคัญของโรงเรียนรอผมอยู่
ด้วยความที่ผม “มืดแปดด้าน” ผมเลยตัดสินใจโทรหาเจ้าของกวดวิชาเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดด้วยความหวังเล็กๆ ว่าเค้าน่าจะช่วยผมได้
ปรากฏว่าเค้าตกลงจะช่วยผมครับ อาจารย์ท่านนั้นติวให้ผมแบบทุกวันตอนเย็นเป็นเวลา 1 อาทิตย์เต็มๆ
และที่สำคัญไปกว่านั้น เค้าไม่คิดเงินสักบาทเดียวเลย
หลังจากนั้นเดาได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น ? ผมคะแนนดีขึ้นแบบงงๆ
และแน่นอนว่าถ้าใครมาถามถึงที่เรียนพิเศษ
ผมก็แนะนำอาจารย์ท่านนี้ให้ทุกคนในโรงเรียนอย่างไม่ลังเล
และทุกวันนี้ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว เราก็ยังติดต่อกันอยู่บ้างตามประสา
กลับมาที่เรื่องของการให้ จุดที่ยากของการให้คือดอกผลของมัน ที่เราไม่รู้เลยว่ามันจะมาเมื่อไร หรือจะได้กลับมาไหม
ผมอาจจะเป็นเด็กที่เรียนฟรี 1 อาทิตย์แล้วหายไปเลย มันก็เป็นไปได้
แตกต่างจากการกช่วงชิงจากคนอื่น คุณจะได้เดี๋ยวนั้นทันที
แต่อย่างที่รู้กันว่าการแย่งจากคนอื่นมา สิ่งที่คุณหามาได้ อาจไม่ยั่งยืน
ตรงข้ามกับการให้ ถ้าคุณมอบให้ผู้อื่นอย่างปราถนาดี และประจวบเหมาะกับมีคนเห็นความหมายในสิ่งที่คุณทำ รับประกันได้เลยว่า
ความสำเร็จ น่าจะอยู่ไม่ไกล
สุขสันต์วันคริสต์มาสครับ
สมัยผมเด็ก ๆ ด้วยความที่เรียนโรงเรียนคริสต์ ทำให้ช่วงคริสต์มาสเป็นเหมือนเทศกาล “เฉลิมฉลองใหญ่” ของทุกคน
ช่วงนั้นโรงเรียนจะจัดเต็มกิจกรรมสันทนาการ ไม่ว่าจะเป็นแสงสี อาหาร และการถล่มเปิดเพลงในอัลบั้มชุด “เพลย์ลิสต์คริสต์มาส”
รวมไปถึงการ “รีรัน” คำสอนจากพระคัมภีร์ยอดฮิต ให้เด็ก ๆ ได้ฟังกัน
ในคำสอนยอดฮิต มีคำสอนหนึ่งที่ผมยังจำได้มาถึงทุกวันนี้คือ
“การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ”
และเหตุผลที่ผมจำได้แม่น เพราะตอนเด็ก ๆ ผมไม่เคยเข้าใจเลย ผมเองก็ได้แต่ตั้งคำถามในใจว่า
“การให้เนี่ยนะจะทำให้มีความสุข มันต้องการรับสิ รับเยอะ ๆ เลย ถึงจะมีความสุข”
แต่พอโตขึ้น ความคิดผมก็เปลี่ยนไป
โอเค แล้วการให้จะทำให้มีความสุขยังไง ? คำถามนี้คงไม่มีใครตอบได้ดีเท่ากับ
Adam Grant คนเขียนหนังสือ Best Seller อย่าง Give and Take
Adam Grant เปิดเรื่องในหนังสือได้อย่างน่าสนใจว่า
“คนที่ชีวิตลำบากตรากตำที่สุดคือผู้ล่า” แต่เรื่องที่น่าตกใจคือ
“คนที่ก้าวหน้าที่สุดเองกลับไม่ใช่ผู้ล่า แต่ก็คือผู้ให้เช่นกัน”
แต่ทั้งนี้ เราต้องห้ามให้มั่ว ๆ แต่ต้องให้อย่างมีชั้นเชิง มีกลยุทธ์
แล้วอะไรคือผลตอบแทนเมื่อผู้ให้ทำการให้ มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องนึงขึ้นมา
ตอนสมัยผมเป็นวัยรุ่นที่ต่างจังหวัด ผมเป็นเด็กที่ผลการเรียนเรียกว่าไม่ค่อยเอาไหน
ไม่ใช่ว่าผมเกเรหรือไม่ตั้งใจเรียนนะ แต่หัวผมมันไม่ไหวจริงๆ
และที่นั่นไม่ค่อยมีการกวดวิชาผ่านทีวีหรือคอมพิวเตอร์อย่างในเมืองกรุง
ทว่า ณ ตอนนั้นมันมีการสอบครั้งสำคัญของโรงเรียนรอผมอยู่
ด้วยความที่ผม “มืดแปดด้าน” ผมเลยตัดสินใจโทรหาเจ้าของกวดวิชาเล็กๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดด้วยความหวังเล็กๆ ว่าเค้าน่าจะช่วยผมได้
ปรากฏว่าเค้าตกลงจะช่วยผมครับ อาจารย์ท่านนั้นติวให้ผมแบบทุกวันตอนเย็นเป็นเวลา 1 อาทิตย์เต็ม ๆ
และที่สำคัญไปกว่านั้น เค้าไม่คิดเงินสักบาทเดียวเลย
หลังจากนั้นเดาได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น ? ผมคะแนนดีขึ้นแบบงง ๆ
และแน่นอนว่าถ้าใครมาถามถึงที่เรียนพิเศษ
ผมก็แนะนำอาจารย์ท่านนี้ให้ทุกคนในโรงเรียนอย่างไม่ลังเล
และทุกวันนี้ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว เราก็ยังติดต่อกันอยู่บ้างตามประสา
กลับมาที่เรื่องของการให้ จุดที่ยากของการให้คือดอกผลของมัน ที่เราไม่รู้เลยว่ามันจะมาเมื่อไร หรือจะได้กลับมาไหม
ผมอาจจะเป็นเด็กที่เรียนฟรี 1 อาทิตย์แล้วหายไปเลย มันก็เป็นไปได้
แตกต่างจากการ “ช่วงชิง” จากคนอื่น คุณจะได้เดี๋ยวนั้นทันที
แต่อย่างที่รู้กันว่าการแย่งจากคนอื่นมา สิ่งที่คุณหามาได้ อาจไม่ยั่งยืน
ตรงข้ามกับการให้ ถ้าคุณมอบให้ผู้อื่นอย่างปรารถนาดี และประจวบเหมาะกับมีคนเห็นความหมายในสิ่งที่คุณทำ รับประกันได้เลยว่า
คุณจะได้รับ มากกว่าสิ่งที่คุณให้ไปอย่างแน่นอน
สุขสันต์วันคริสต์มาสครับ
Comments
Post a Comment